วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555


ประวัติหมู่บ้านวังโปง 

ประวัติความเป็นมา

      จากคำบอกเล่าสืบต่อ ๆกันมาว่าเมื่อปี พ.. 2310    พม่ายกกองทัพมาล้อม  และตีกรุงศรีอยุธยา
ไทยต้องเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่  2 นั้น ข่าวนี้ล่วงรู้ไปตามหัวเมืองต่างๆ ราษฎรแตกตื่นเกรงกลัวภัยสงครามกันมากด้วยกลัวจะถูกเกณฑ์ให้ไปรบ และถูกจับกวาดต้อนเป็นเชลยไปยังพม่า จึงพากันอพยพหนีภัยที่เกิดจากสงครามครั้งนั้นกันมากมาย  และในครั้งนั้นราษฎรหัวเมืองเพชรบูรณ์ แถบบ้านนายม บ้านยางหัวลม ส่วนหนึ่งได้จัดเตรียมเสบียงอาหาร สัตว์พาหนะ อพยพหาที่อยู่แห่งใหม่  เพื่อหลบภัยจากสงคราม  รวมได้ราว ๆ
50    ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นหมู่ญาติและราษฎรที่สมัครใจ โดยการนำของนายพรานผู้ชำนาญทาง ชื่อนายพรานประดิษฐ์   คนบ้านยางหัวลม  เดินทางรอนแรมกันมาเป็นเวลา   3  วัน   3   คืน   โดยใช้เวลาวันแรกเดินทางมาถึงเชิงเขารัง เดินทางต่อมาถึงฟากเขายังด้านตะวันตกที่ซึ่งเรียกว่า ลาดใหญ่ใช้เวลาอีก 1 วัน และจากลาดใหญ่มาถึงบริเวณที่ตั้งหมู่บ้านใช้เวลาอีก  1  วัน   จากนั้นก็ได้ทำการหักร้างถางพง  ตั้งบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัยจับจองที่ทำมาหากินเป็นที่นาที่ไร่ตั้งชื่อบ้านว่า    “วังดินโป่ง”    เพราะที่ตั้งหมู่บ้านอยู่ใกล้วังน้ำลึกใกล้ ๆ วังน้ำ  เป็นที่ที่มีดินเค็ม  พวกสัตว์ป่าได้อาศัยมากินดินเค็มและลงกินน้ำ  ณ ที่แห่งนี้เป็นประจำ
ต่อมานายพรานประดิษฐ์   ได้เดินทางไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเพชรบูรณ์หรือหลวงโยธานิเทศ   ว่าพื้นที่แถบนี้อุดมสมบูรณ์   ที่ทำเลกว้างขวางเหมาะแก่การตั้งบ้านเรือนและที่ทำกิน เมื่อทราบข่าวเจ้าเมืองเพชรบูรณ์ จึงได้ป่าวประกาศแก่นายบ้าน   นายตำบลภายในหัวเมืองเพชรบูรณ์ให้ทราบ  และได้เดินทางมาดูด้วยตนเอง โดยให้บ่าวไพร่ได้เตรียมกระบวนพาหนะช้างม้า และเสบียงอาหารเพื่อเดินทางไปดูทำเลภูมิประเทศ  และออกเที่ยวป่าล่าสัตว์ ตามคำบอกเล่าของนายพรานประดิษฐ์  เดินทางเที่ยวรอนแรมอยู่ 15 วัน 15 คืนจึงได้ทราบว่าบริเวณบ้านวังโป่งเหมาะสมที่จะตั้งขึ้นเป็นถิ่นฐานบ้านเรือน ทำมาหากินได้หลายตำบล   เมื่อกลับไปแล้วจึงได้แจ้งให้  ราษฎรที่สมัครใจจะอพยพมาอยู่   ก็ให้นายพรานประดิษฐ์เป็นผู้นำทางมา  มีการอพยพเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ  ครั้งหนึ่ง ๆ   หลายสิบครอบครัว    ต่อมาชื่อบ้านเดิมตัด      คำว่า ดิน  ออก  คงเหลือชื่อหมู่บ้านว่า  “ วังโป่ง
(มีผู้อธิบายว่า  ชื่อเดิม วังดินโป่ง  นั้น  คำว่า ดินโป่ง ก็คือ ดินที่มีรสเค็ม    พวกสัตว์ใช้กินเป็นอาหารได้ ดังนี้แล)
            จากคำบอกเล่าบางตอนจะคล้ายกันแต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกัน เช่นเล่าว่าเดิมหมู่บ้านวังโป่งเป็นหมู่บ้านใหญ่มาแต่โบราณและเป็นที่ตั้งของตำบลมาตลอด     แต่ก่อนนั้นเป็นป่าดงดิบ    มีไม้ขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก  อยู่ห่างไกลจากท้องถิ่นอื่น ๆ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด  เมื่อครั้งที่ชาวเวียงจันทร์แตกทัพ แม่ทัพได้จับเอาข้าศึกมาพักในหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ตำบลนายม  อำเภอเมืองเพชรบูรณ์เป็นส่วนมาก  โดยให้หลวงโยธานิเทศน์เป็นผู้ดูแล ต่อมาพวกเชลยไม่มีที่ทำกิน หลวงโยธานิเทศน์นึกขึ้นได้ว่าเคยรู้จักกับนายพรานป่า  ชื่อนายพรานประดิษฐ์  คนบ้านยางหัวลม  ตำบลนายม ซึ่งเป็นผู้รู้จักภูมิประเทศดีจึงได้ไปสอบถามดูนายพรานก็บอกว่าเคยพบที่แห่งหนึ่งซึ่งต้องข้ามเขาไปทางทิศตะวันตกหลวงโยธานิเทศน์จึงเดินทางมาสำรวจด้วยตนเอง เห็นว่าเป็นที่ที่ทำเลอุดมสมบูรณ์เหมาะที่จะตั้งเป็นที่ทำมาหากิน  จึงกลับมาสอบถามความสมัครใจว่าใครจะ
อพยพไปอยู่ที่แห่งใหม่  รวบรวมได้ประมาณ  40  ครอบครัว  และอพยพมาราว ๆ ร.ศ. 20 (พ.ศ. 2344)  โดยให้นายพรานประดิษฐ์เป็นผู้ควบคุมดูแลไป


เมื่อหมู่บ้านเริ่มขยายตัวเป็นหมู่บ้านใหญ่ขึ้น    นายพรานประดิษฐ์ได้ให้ราษฎรตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยให้อยู่ริมสองฝั่งคลอง    ซึ่งเป็นลักษณะของการตั้งบ้านเมืองในสมัยก่อน   ที่เลือกให้มีแม่น้ำอยู่กลางเมือง     โดยให้ไหลผ่านใจกลางของเมือง         นายพรานประดิษฐ์ได้จัดสรรบริเวณกลางหมู่บ้าน        ด้านตะวันตกของลำคลองไว้ประมาณเนื้อที่ได้   20    ไร่   ให้เป็นที่ตั้งวัด   เพื่อให้ราษฎรทางด้านทิศใต้   ทิศเหนือ   ทิศตะวันออก    ตะวันตกของหมู่บ้าน ได้มาร่วมทำบุญการกุศลตามประเพณีดั้งเดิมของชาวไทย ตั้งชื่อวัดว่า  “ วัดป่าดงตะเคียน           ซึ่งกล่าวกันว่าคงตั้งเมื่อประมาณปี พ.. 2310 – 2320  ต่อมาเปลี่ยนชื่อวัดเป็น   “ วัดอรัญญาวาส
                 ประมาณปี    พ.ศ.   2465     ได้จัดสร้างโรงเรียนชั่วคราวขึ้นที่วัดวังโป่ง   มีครู  2  คน   คือ นายบัว  ตาลสุขเรือง  เป็นครูใหญ่  นายหลอง  นิ่มนวล  เป็นครูผู้สอน  โดยมีพระภิกษุศรี  สุขสีฟัน  เป็นผู้อุปการะ
สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม
                 สภาพโดยทั่วไปของบ้านวังโป่งเป็นที่ราบเนินเขา  มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
                        ทิศเหนือ         ติดต่อกับ         บ้านวังหินและบ้านเนินตะขบ
                        ทิศใต้              ติดต่อกับ         บ้านเนินคายและบ้านดงลึก
                        ทิศตะวันออก ติดต่อกับ         บ้านเนินตะขบและบ้านไร่ฝาย
                        ทิศตะวันตก    ติดต่อกับ         บ้านคลองแสลงกลึง
                 การคมนาคม  มีทางหลวงแผ่นดินหมายเลข  1205  ผ่านกลางหมู่บ้านและมีรถยนต์วิ่งผ่านเป็นประจำทุกวัน  ระยะทางห่างจากที่ว่าการอำเภอ  1  กิโลเมตร
ประชากร  (ข้อมูล  ปี  2551)
                 บ้านวังโป่ง  ประกอบด้วย  4  หมู่บ้าน  ซึ่งในแต่ละหมู่มีประชากร  ดังนี้
                         หมู่ 1 มีประชากร  ชาย   984   คน   หญิง  1,065  คน   รวม   2,049  คน
                         หมู่ 2 มีประชากร  ชาย   361  คน    หญิง     392  คน   รวม      753  คน
                         หมู่ 3 มีประชากร  ชาย   432   คน   หญิง     446  คน   รวม      878  คน     
                         หมู่ 4 มีประชากร  ชาย   263   คน   หญิง     244  คน   รวม      507  คน     

อาชีพ / เศรษฐกิจ

                 ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร  ได้แก่  การทำนา  การทำไร่  ปลูกพืชผักสวนครัวการรับจ้าง  และรับราชการซึ่งมีเป็นส่วนน้อยพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ  ได้แก่  ข้าว  ถั่วเหลือง  ถั่วเขียว  พืชผักสวนครัวรายได้ส่วนใหญ่มาจากเกษตรกรรม  ซึ่งมีผลผลิตไม่แน่นอน  ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ ดังนั้นเศรษฐกิจส่วนรวมจึงไม่ดีเท่าที่ควร แหล่งน้ำที่สำคัญ  คือ  คลองวังโป่ง
                    ภาษา / ศาสนา / ศิลปะ / วัฒนธรรม / ประเพณี
                 ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ   ร้อยละ 99.82   ศาสนาอิสลาม  ร้อยละ  0.04    ศาสนาคริสต์ ร้อยละ 0.04  ชาวพุทธจะนิยมทำบุญตักบาตรตามประเพณีของชาวไทยใหญ่ทั่ว ๆ ไป  โดยเฉพาะทำบุญในวันเข้าพรรษา  ออกพรรษา  ประชาชนที่ไปทำงานต่างจังหวัดจะกลับบ้าน   เพื่อมาร่วมกับครอบครัวทำบุญตักบาตร ส่วนชาวอิสลาม  ชาวคริสต์  จะประกอบพิธีทางศาสนาของตน
การทำบุญกลางบ้าน

 หมู่บ้านวังโป่งในสมัยก่อนจะมีโรคระบาด คือ โรคห่า  หรือปัจจุบันเรียกว่าโรคอหิวาตกโรค  ซึ่งโรคนี้ถ้าใครเป็นแล้วจะรักษาไม่หาย  จึงทำให้ชาวบ้านล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเพราะผีมาทำร้ายจึงได้หาหมอมารักษา ได้แก่พวกหมอผีต่าง ๆชาวบ้านก็ไม่หายและยิ่งล้มตายมากขึ้น    ชาวบ้านในหมู่บ้านจึงคิดหาวิธีชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีหรือล้างซวยออกจากหมู่บ้านโดยชาวบ้านจะช่วยกันปลูกพลับพลาชั่วคราวกลางหมู่บ้านสำหรับการทำพิธี และล้อมด้วยด้ายสายสิญจน์  ชาวบ้านจะนำอาหารหวานคาวมารวมกันที่พลับพลา และนิมนต์พระ ๙ รูป  มาสวดปัดเป่ารังควาญ  พอเสร็จจากการทำบุญชาวบ้านก็จะทำกระทง แล้วนำข้าวเหนียว ข้าวเหนียวคลุกงา   หรือข้าวเหนียวดำ พริก หอม กระเทียม เกลือ น้ำปลา และปลาร้า ใส่ลงไปในกระทง รวมทั้งปั้นดินเหนียวเป็นรูปและสัตว์คนในหมู่บ้าน  และให้ชาวบ้านที่มาในพิธียกส่งต่อ ๆ กันไป  

จากนั้นจึงนำกระทงมาลอยที่แม่น้ำ  ลำคลอง   ใกล้หมู่บ้าน  โดยชาวบ้านเชื่อว่าการลอยสิ่งต่าง ๆ นี้ไป  เป็นการเอาความไม่เป็นสิริมงคล และโรคภัยไข้เจ็บใส่กระทงลอยไปกับน้ำ ทั้งนี้ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าทำบุญแบบนี้แล้วจะทำให้สะเดาะเคราะห์ได้ และเพื่อให้ชาวบ้านในหมู่บ้านอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข  ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มารบกวน  แต่ถ้าปีใดชาวบ้านไม่ได้ทำบุญกลางบ้าน  ปีนั้นก็จะไม่ดี ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นโรคระบาดกันมาก และจะอยู่อย่างไม่สงบสุข เพราะจะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นในหมู่บ้านอยู่เรื่อย ๆ ดังนั้นชาวบ้านจึงเชื่อกันว่า ถ้าทำบุญกลางบ้านแล้ว  ชาวบ้านจะอยู่ดีกินดี  ฝนตกต้องตามฤดูกาล  โรคภัยไข้เจ็บไม่มารบกวน  และการทำบุญกลางบ้านของหมู่บ้านวังโป่งก็ปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ในปัจจุบันหมู่บ้านวังโป่งประกอบด้วยหมู่บ้าน ๔ หมู่บ้าน  ดังนั้นแต่ละหมู่จึงทำบุญกลางบ้านของตนเองโดยไม่ให้ซ้ำวันซึ่งกันและกัน 

                         โบราณสถาน  
                   วัดอรัญญาวาส  วังโป่ง  เป็นวัดเก่าแก่และเป็นวัดที่สำคัญแห่งแรกที่มีมาคู่บ้านคู่เมืองของบ้านวังโป่ง  ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร ซึ่งเป็นองค์พระประธานในอุโบสถ เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไปในอำเภอ      และนอกจากนี้ภายในวัดยังมีโบราณสถาน     และโบราณวัตถุอีกมากมายควรแก่การศึกษา  และเก็บรักษาไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานภายหน้า   อาทิเช่น  อุโบสถสมัยรัชกาลที่  4   พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์     ศิลปะสมัยสุโขทัย    และศิลปะสมัยอยุธยา     พระพุทธรูปแกะสลักจากศิลาแลง   เลียนแบบศิลปะสมัยทวารวดี  อิฐมอญปั้น  และกระเบื้องดินเผาที่ใช้มุงอุโบสถ  สมัยรัชกาลที่  4  ตู้พระไตรปิฏก   เขียนลายรดน้ำสีทอง     และ จิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ 
                   อุโบสถทรงโบราณ 
                   ของวัดอรัญญาวาส      มีขนาด   กว้าง   8    เมตร    ยาว      16    เมตร     สร้างขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ 4  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (.. 2394    .. 2411)   การก่อสร้างเป็นแบบก่ออิฐถือปูน กล่าวกันว่าแต่เดิมนั้นไม่มีเสายึดกลาง  เพียงแต่มีไม้คล้ายเสาถากเป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ใช้พาดเป็นขื่อขวางด้านบนยึดเท่านั้น   เดิมนั้นมุงหลังคาชั่วคราวด้วยหญ้าแฝก  (ไพเป็นตับ)   ต่อมาจึงทำหลังคาย่อมุข   2   ชั้น     มุงด้วยกระเบื้องเกล็ดดินเผาปลายเสี้ยมค่อนข้างแหลม
                 ลักษณะของอุโบสถเป็นอุโบสถทรงโบราณ ศิลปะคล้ายของชาวล้านนาเมืองเหนือทั่ว ๆไป มีประตูเข้าเพียงด้านหน้าทางเดียว   เป็นประตูหนึ่งช่อง  2 บาน  ปิดเข้าหากัน  หน้าต่างรอบอุโบสถมีทั้งหมด  6  ช่อง โดยวางตัวเรียงตามด้านข้าง       ข้างละ  3  ช่อง   เป็นหน้าต่างช่องละ   2   บาน  ปิดเข้าหากัน  ทำจากไม้ที่มีขนาดหนา   (ปัจจุบันยังคงใช้ของเดิมอยู่ชำรุดเป็นบางส่วน)
จากคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อนกล่าวว่า       แต่เดิมนั้นภายในอุโบสถไม่มีองค์พระประธานในโบสถ์มาก่อน    (คงเป็นเพราะไม่มีช่างที่มีความรู้ในด้านศิลปะการปั้นพระพุทธรูปก็เป็นได้)         เพียงยึดเอาลูกนิมิตในอุโบสถแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดาแห่งพุทธศาสนา  และลูกนิมิตรอบ ๆ อุโบสถแทนพระสาวกของพระพุทธองค์
 หลายสิบปีต่อมา   จึงได้รับมอบถวายองค์พระประธานและพระพุทธรูป อีก  2   องค์  จากท่านเจ้าคุณณุโยควรญาณเมธี   เจ้าคณะมณฑลพิษณุโลก   ถวายแก่วัด ประมาณปี  พ.. 2470 – .. 2475  การบูรณะอุโบสถได้กระทำเรื่อยมาหลายครั้ง    อาทิเช่น   การบูรณะครั้งใหญ่ก่อนถึงปัจจุบัน  ได้ว่าจ้างช่างชาวเมืองน่าน ทำการบูรณะโดยว่าจ้างในราคา 2,500 บาท และมุงหลังคาเช่นเดิมคือเป็นกระเบื้อง สันนิษฐานว่าคงเป็นกระเบื้องเก่าที่ถูกรื้อนำมากองรวมกันไว้ ณ  ที่ใต้ถุนศาลาหลังปัจจุบันที่เป็นศาลาหลังใหญ่ (เป็นที่น่าเสียดายว่า   ต่อไปถ้าอุโบสถหลังใหม่ที่มีขนาดใหญ่กำลังก่อสร้าง หากเสร็จเรียบร้อยแล้วคงถูกรื้อถอนออก ศิลปะวัตถุบางอย่าง เช่นลายไทยที่ปั้นลมแบบไทย ๆ และเสาถากกลมขนาดใหญ่ที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน คงสูญหายไป)   กระเบื้องเกล็ดที่พบ  เป็นกระเบื้องปูนแต่มีขนาดใหญ่กว่ากระเบื้องเกล็ดดินเผาเล็กน้อย ฝังอยู่ใต้ดิน
ต่อมาก็มีการบูรณะซ่อมแซมเล็ก ๆ น้อย ๆ  เรื่อยมาหลายครั้ง  และมีการเปลี่ยนหลังคาเป็นสังกะสีในการต่อมาอยู่ระยะหนึ่ง   แต่หลังคายังคงย่อมุขเป็นหลังคา  2  ชั้น  เช่นเดิม  การบูรณะยังคงรูปทรงแบบเดิมอยู่
การบูรณะซ่อมแซมครั้งสำคัญหลังสุด     กระทำเมื่อปี     พ.. 2529 – .. 2531      โดยราษฎรและข้าราชการเพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  รัชกาลที่  9  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  เนื่องในวโรกาสที่มีพระชนมพรรษาครบ   5  รอบ   (60 พรรษา)  วันที่  5  ธันวาคม  2530  โดยมีนายปัญจะ เกสรทอง ประธานสภาผู้แทนราษฎร (.. ของจังหวัดเพชรบูรณ์)   มาเป็นประธานในการยกช่อฟ้าขึ้นประดิษฐาน     สิ้นค่าก่อสร้างทั้งสิ้น   50,901 บาท   (23 .. 31 )     การที่บูรณะในครั้งนี้เนื่องจากอุโบสถทรุดโทรมขึ้นมากมีรอยแตกร้าวโดยรอบบริเวณ เช่น ด้านมุมทั้งสี่มุม  ส่วนที่เป็นไม้เสา  ขื่อและไม้แปรผุพังลงทำให้รอยต่อต่าง ๆ  แยกหลุดออกจากกัน หลังคาเกิดรอยรั่วจากการกัดเซาะของน้ำฝน การซ่อมแซมกระทำโดยการอัดซีเมนต์อุดเข้าไปภายในและสอดไส้เป็นเหล็กเข้าไปด้านในให้ยึดเกาะกัน เพื่อป้องการแยกออกภายหลัง
จากการบูรณะดังกล่าวทำให้สูญเสียศิลปะดั้งเดิมไปบ้าง  เฉพาะบางส่วนที่อยู่ใกล้บริเวณที่ซ่อมแซม  เช่น   ภาพจิตรกรรมฝาผนัง    ลวดลายพญานาคปูนปั้น      ด้านบนของหน้าต่างด้านทิศใต้หายไป    ยังคงเหลือเฉพาะด้านเหนือลูกกรงที่ทำ      เป็นลูกกรงปูนปั้น       ลูกแก้วด้านหน้าอุโบสถซึ่งเป็นศิลปะเมืองเหนือถูกทุบทิ้ง       และทำให้ทึบ  โดยโบกปูนเข้าไป   มีการติดฝ้าเพดานทำให้บดบังขื่อและไม้แปร     ซึ่งทำให้ไม่สามารถมองเห็นของเดิมที่มีขนาดใหญ่ซึ่งเป็นศิลปะการก่อสร้างของไทยแต่ดั้งเดิม
                นอกจากนี้ภายในอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อเพชร ซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถ  เป็นที่เคารพบูชาของประชาชนทั่วไป  และมีจิตรกรรมฝาผนังศิลปะของช่างสมัยก่อน     เป็นภาพแบบศิลปะของไทย   โดยใช้สีด้านสองสี   คือ  สีครามกับสีน้ำตาล
                ปัจจุบันการก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ที่มีขนาดใหญ่แล้วเสร็จ โดยตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหลังเก่า     จึงได้มีพิธีถอนเสมาและใช้อุโบสถหลังเดิมนี้เป็นวิหารต่อไป
                  โบราณวัตถุ
                 ภาพจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถ 

                ภายในอุโบสถทรงโบราณ     ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่  4   (พ.ศ. 2394 – พ.ศ. 2411)  นอกจากมีพระพุทธรูปพระประธานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองคือ “หลวงพ่อเพชรมีชัย” แล้ววัดอรัญญาวาสยังมีจิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์ด้วย ถือว่าเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่เก่าแก่ที่สุดของอำเภอจากคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อน  คือ   คุณปู่ถนอม  สุขแก้ว อดีตเคยได้เป็นเจ้าอาวาสวัดมาก่อนเล่าว่า  ได้ว่าจ้างช่างชาวเมืองเหนือจากลำพูน (บางคนก็ว่าเป็นช่างเป็นชาวเชียงราย)     เป็นช่างวาดภาพ    โดยว่าจ้างในราคาเมตรละ  18   บาท   โดยการวาดภาพครั้งนั้นผู้เล่าจำปีที่วาดไม่แน่นอนว่าปีใดแน่    แต่คาดว่าคงวาดไว้ในราว ๆ   ปี  พ.ศ.  2481  –  พ.ศ.  2488        
(จากหลักฐานที่ปรากฏบนภาพเขียนด้านหลังพระประธานเป็นภาพมารผจญพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้   จารึกข้อความว่า  “ พ.ศ. 2488 ” ซึ่งอาจจะเป็นปีแรกที่เขียนภาพ หรือไมก็เป็นปีสุดท้ายของการเขียนภาพ อาจเป็นได้)  ลักษณะของภาพเขียนจะเขียนด้วยสีด้าน        คล้ายสีที่ทำจากธรรมชาติ มี   2   สี   คือ   สีน้ำตาล   และสีน้ำเงินออกคราม  หรือสีครามออกน้ำเงิน   เป็นภาพลายตัดเส้นเน้นให้ภาพเด่นขึ้น  ส่วนใหญ่จะใช้สี  2   สี  เป็นหลัก บางภาพในรายละเอียด  อาจมีการผสมสีให้เข้มจางลง ดูคล้ายจะมีสีอื่นปะปนบ้างก็ดูจะเล็กน้อยเท่านั้น  ภาพส่วนใหญ่ทั้งหมดยกเว้นภาพด้านหลังพระประธานจะวาดภาพโดยการเขียนวางภาพไว้ตอนบนของบาหน้าต่างติดขอบบนพอดี ส่วนภาพด้านหลังพระประธานจะเขียนภาพให้ต่ำลงมาถึงของด้านล่างของบานหน้าต่างพอดี

                    ภาพจิตรกรรมฝาผนัง   จะแบ่งภาพออกเป็น  2  ชั้น  โดยหมายเอาตั้งแต่ขอบหน้าต่างด้านบนขึ้นไปจนถึงด้านล่างของไม้จันทันด้านล่าง  แล้วแบ่งครึ่งแยกออกเป็นส่วนบนและส่วนล่างไปตลอดแนว จนมาบรรจบกัน ความสูงของแต่ละส่วนที่จะเป็นตัวภาพแต่ละภาพสูงประมาณ 38  นิ้ว  ภาพด้านบนจะเขียนเป็นภาพเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดรชาดกทั้งหมด 13 กัณฑ์ ภาพด้านล่างจะเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติตั้งแต่ต้นจนจบ ลักษณะของการวางภาพแต่ละเรื่องราวแต่ละตอนนั้นช่างผู้ที่เขียนภาพจะไม่แบ่งเป็นช่องภาพแต่ละภาพแยกออกจากกันเป็นช่องๆแต่ได้วาดภาพทั้งหมดของแต่ละตอนให้ต่อเนื่องกันไปตลอดจนจบเรื่อง ก็จะสุดผนังอุโบสถพอดี  เป็นที่น่าแปลกใจมากที่ช่างเขียนสามารถคำนวณได้อย่างเหมาะสมนอกจากนี้ผู้เขียนภาพยังได้เขียนอักษรบรรยายภาพ  โดยใช้อักษรแบบไทยอาลักษณ์ ซึ่งปัจจุบันนี้หาดูได้ยาก   ด้านหน้าของโบสถ์เป็นภาพเขียน    พระมาลัยโปรดสัตว์นรกจนเต็มผนัง
                 จิตรกรรมแห่งนี้แม้ว่าจะเป็นฝีมือช่างท้องถิ่น แต่ก็เขียนได้งดงามมีระเบียบ ล้วนเป็นศิลปะอันวิจิตร ที่ควรอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติอันสูงค่าของชาวอำเภอวังโป่งและของชาติ
หลวงพ่อเพชร เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นคู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่งของชาววังโป่ง สถิตประดิษฐานเป็นพระประธานในอุโบสถของวัดอรัญญาวาสเป็นที่เคารพสักการบูชาของประชาชนในอำเภอวังโป่ง
หลวงพ่อเพชรฯเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามองค์หนึ่งในท้องถิ่นพุทธลักษณะเป็น  พระพุทธรูปปางมารวิชัยนั่งขัดสมาธิ  หน้าตักกว้างโดยประมาณกว้าง 3  ศอก  8  นิ้ว  ความสูง ประมาณ 3 ศอก 1 คืบ 1 นิ้ว ฝีมือ  การปั้น  เลียนแบบศิลปะสมัยเชียงแสน ประทับนั่งบนฐานเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงายรองรับสองชั้น(ฐานสูงจากพื้นถึงฐานบน  ความสูง 40 นิ้ว)ตามประวัติการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้จากการสอบถามและหลักฐานผู้สร้าง ปี พ.ศ.ไม่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าคงสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2475 – 2480 ในสมัยของ หลวงพ่อถนอม  สุขแก้ว เป็นเจ้าอาวาสโดยการว่าจ้างช่างชาวลำพูน(ช่างเพชร)เป็นผู้ปั้นสาเหตุที่มีการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้เนื่องมาจากแต่เดิมเมื่อครั้งก่อสร้างอุโบสถใหม่ ๆนั้นไม่มีพระประธานต่อมาได้รับการถวายพระพุทธรูปจากเจ้าคณะมลฑลพิษณุโลกมา จำนวน 3 องค์แต่มีขนาดเล็กเกินไปจึงได้นำไปประดิษฐานไว้ชั่วคราวต่อมาจึงได้เดินทางไปขออนุญาตจากเจ้าอาวาสวัดท่าหลวงเมืองพิจิตร ขอจำลองรูปหลวงพ่อเพชรและได้ขอให้ช่างถ่ายภาพแต่ปรากฏว่าภาพไม่ติดจึงให้ช่างวาดภาพองค์พระจริงคร่าว ๆแล้วนำมาปั้นตามแบบจนแล้วเสร็จ
         ตู้เก็บพระไตรปิฎก 
   
               ลักษณะเป็นตู้ไม้ลายรดน้ำลงรักสีทอง มีขาสี่ขาเป็นขาเหลี่ยมมีความสูงจากด้านล่างถึงด้านบนสุด  67 นิ้ว ด้านบนกว้าง 29.5 นิ้ว ด้านล่างกว้าง 30.5 นิ้ว จากฐานขาล่างถึงด้านล่างของบานประตูสูง 17.5 นิ้ว  เป็นตู้ชนิดที่มีบานประตู 2 บาน แต่ละบานกว้างประมาณ 13 นิ้ว  และสูงบานละประมาณ 48  นิ้ว หน้าบานประตูทั้งสองด้านเขียนเป็นลายภาพไทยลายเครือเถา และด้านบนมีภาพรามเกียรติ์บานขวามือเป็นรูปภาพยักษ์บานซ้ายมือเป็นภาพของหนุมานด้านล่างของบานประตู บานขวามือเป็นภาพพระเวสสันดรชาดกตอนพระนางมัทรีออกเดินทางกลางป่าโดยที่ทั้งสองพระองค์อุ้มพระกัณหาและพระชาลีด้วยส่วนบานซ้ายไม่ปรากฏภาพใดนอกจากภาพลาไทยเป็นเครือเถาเหมือนกับด้านบน และที่ฐานของขาด้านล่างยังมีกระบังหน้า วาดภาพแยกเป็นด้านซ้ายและด้านขวา และด้านข้างทั้งสองก็มีภาพปรากฏเช่นกัน ปัจจุบันนี้ตู้เก็บพระธรรมหลังนี้ยังคงเก็บไว้ ณ ที่พระอุโบสถทรงโบราณของวัดอรัญญาวาส

1 ความคิดเห็น: